โรคหูดับหรือโรคประสาทหูเสื่อม หรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Sudden Hearing Loss (SHL) เป็นภาวะสูญเสียการได้ยินอย่างกะทันหันโดยผู้เป็นโรคหูดับ จะมีอาการที่หูได้ยินเสียงน้อยลงหรือไม่ได้ยินเสียงเลย อาจจะเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเพียงข้างเดียว
อย่างไรก็ตามในทางทฤษฎีแล้วนั้น โรคหูดับ หมายถึง ระดับการได้ยินลดลงมากกว่า 30 เดซิเบล เป็นเวลานานเกินกว่า 72 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้อาการมักจะปรากฏเด่นชัดในช่วง 2 – 3 ชั่วโมงแรก อาการรุนแรงมากน้อย แตกต่างกันได้มาก และระดับเสียงที่ไม่ได้ยิน อาจเป็นระดับเสียงที่ความดังเท่าใดก็ได้ไม่แน่นอนเสมอไป และอาการของโรคหูดับอาจเป็นเพียงชั่วคราวหรือเกิดขึ้นอย่างถาวรก็ได้
อาการของโรคหูดับ
จากสถิติพบว่าผู้ป่วยโรคหูดับ 1 ใน 3 มักจะมีอาการหูดับในช่วงเช้า โดยเฉพาะหลังตื่นนอนใหม่ และมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ อาเจียน เวียนหัว บ้านหมุน มีเสียงดังในหูร่วมด้วย
กลุ่มเสี่ยงโรคหูดับ
โรคหูดับเกิดขึ้นได้ทั้งกับเพศชายและเพศหญิง มักเป็นในทุกอายุ ตั้งแต่ 30 - 60 ปี โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานในสถานที่ที่มีเสียงดังมากๆ เช่น ดารา นักแสดง พิธีกร นักร้อง ที่ต้องทำงานในสถานที่เสียงดัง รวมทั้งวัยรุ่น วัยทำงานที่ชอบฟังเพลงจากเครื่องเล่น MP3 เสียงดังๆ
สาเหตุการเกิดโรคหูดับ
ผู้ป่วยเพียงร้อยละ 10 – 15 เท่านั้น ที่หาสาเหตุได้ว่าอาการหูดับเกิดจากอะไร ที่เหลือไม่พบสาเหตุแน่ชัด แต่มีการศึกษาพบว่าโรคหูดับหรือเส้นประสาทหูเสื่อม เกิดจากสาเหตุ 4 ประการ คือ
1. เกิดจากเชื้อไวรัสบางชนิด
ในบางรายงานทางการแพทย์ พบสาเหตุของ โรคหูดับ ว่าเกิดจากไวรัสมากถึงร้อยละ 60 โดยสามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงทางน้ำเหลืองในห้องปฏิบัติการ โดยไวรัสที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Type B) ซัยโตเมกาโลไวรัส (CMV) ไวรัสคางทูม (mumps) รูบิโอลา (Rubeola) ไวรัสสุกใส-งูสวัด (Varicella-Zoster) ซึ่งไวรัสเหล่านี้จะไปทำให้หูชั้นในอักเสบได้
2. เกิดจากภาวะที่หูชั้นในขาดเลือดไปเลี้ยง
เพราะหูชั้นในมีความไวต่อปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงมาก ดังนั้นหากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหูชั้นในอุดตัน ตีบตัว หรือแตก ก็อาจทำให้เป็นโรคหูดับได้
3. ปฏิกิริยาทางอิมมูน
เนื่องจากพบหลักฐานว่ามีผู้ป่วยโรคออโตอิมมูนหลายชนิด เช่น โรคลูปัส กลุ่มอาการโคแกน ฯลฯ มีอาการหูดับร่วมด้วย จึงเชื่อกันว่าโรคหูดับอาจจะเกิดจากภาวะที่ร่างกายสร้างภูมิต้านทานชนิดแอนติบอดี้ต่อเนื้อเยื่อตนเองหรือที่เรียกว่า Autoimmunity
4. การฉีกขาดของเยื่อภายในหูชั้นใน Intracochlear Membrane
โดยเยื่อดังกล่าวจะทำหน้าที่แยกหูชั้นใน ออกจากหูชั้นกลาง และแบ่งช่องของสารน้ำ ที่เป็นของเหลวที่อยู่ภายในหูชั้นใน หากเยื่อนี้ฉีกขาดจะทำให้ของเหลวเกิดการรั่วไหลได้
อย่างไรก็ตามการได้ยินเสียงดังมากๆ ในทันที เช่น เสียงระเบิด เสียงฟ้าผ่า ก็ทำให้หูดับได้ จนสูญเสียการได้ยินในทันที นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยบางรายเป็นโรคหูดับ เพราะความเครียดไม่ได้นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ อดหลับอดนอน เพราะโหมทำงานหนักมากเกินไปก็เป็นสาเหตให้เกิดโรคหูดับได้เช่นกัน
ทั้งนี้ยังมีโรคหูดับเฉียบพลัน (Sudden Sensorineural Hearing Loss) ที่อยู่ๆ ผู้ป่วยเกิดไม่ได้ยินเสียงขึ้นมาเฉยๆ จนหูดับไปจนเกือบไม่ได้ยินเลยในเวลาไม่เกิน 3 วัน ซึ่งอาการหูดับเฉียบพลันนี้อาจเกิดจาก
-
เนื้องอกของประสาทสมองที่ 8 กดทับเส้นเลือดไปเลี้ยงหูชั้นใน
-
การผิดปกติของเลือด
-
เป็นโรคหลอดเลือด เช่น ความดันสูง การไหลเวียนกระแสโลหิตบกพร่อง หลอดเลือดอักเสบ หรืออุดตัน
-
การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย
-
การฉีกขาดของเยื่อปิดหน้าต่างของหูชั้นใน เช่น ไอ หรือจามรุนแรง เกิดการผสมของน้ำในหู 2 ชนิด
-
การได้รับการผ่าตัดหู
-
ความผิดปกติทางฮอร์โมนและต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไทรอยด์
-
ความเครียด ทำให้การหลั่งฮอร์โมนคอติซอลของร่างกายหลุดไป
-
การผิดปกติของการเผาผลาญ เช่น โรคเบาหวาน
-
การได้รับการกระทบกระแทกของศีรษะ อาจได้แรงอัดจากหูชั้นกลางสะเทือนไปหูชั้นใน หรือแรงดันสูงของโพรงน้ำในสมอง
-
โรคซิฟิลิสของหูและประสาท
-
ไม่ทราบสาเหตุ
ส่วนโรคของหูชั้นในที่มีการคั่งของน้ำในหูชั้นใน อาจทำให้หูดับได้ทันที แต่อาการจะเป็นๆ หายๆ หลายครั้ง และมีกลุ่มอาการร่วมเป็นชุด คือ หูอื้อ เวียนหัว มีเสียงซ่าๆ รบกวนในหู เป็นอีกโรคหนึ่ง ที่เรียกว่า โรคเมเนียร์ (Maniere's Disease) โดยมักพบให้หญิงที่มีอาย 40 – 60 ปี มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
การรักษาโรคหูดับ
การรักษาที่สำคัญที่สุดคือ ผู้ป่วยต้องพักผ่อนให้มากที่สุด เพื่อให้ประสาทหูฟื้นตัวโดยเร็ว โดยทั่วไปแพทย์จะสั่งให้พักผ่อนเพื่อรักษาอาการอย่างน้อย 1 สัปดาห์ และห้ามฟังหรือเข้าใกล้เสียงที่ดังมาก หากสามารถหยุดทำงานได้ก็จะเป็นการดี และควรพักผ่อนอยู่กับบ้าน ถ้าไม่สะดวกอาจพิจารณาเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล อาการของโรคจะดีขึ้นหรือหายได้เอง ราวร้อยละ 70 ของผู้ป่วยทั้งหมด
ดังนั้นในรายที่อาการไม่รุนแรง แพทย์อาจพิจารณาติดตามอาการเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาที่มากมายเนื่องจากไม่ช่วยให้อัตราการหายจากโรคเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ลักษณะอาการเข้าได้กับการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า ไวรัสเฮอร์ปีซิมเพล็ก Herpes simplex virus จากการศึกษาวิจัย พบว่าเชื้อไวรัสในตระกูลเฮอร์ปีเป็นสาเหตุของโรคนี้ได้บ่อย การรักษาโดยใช้ยาต้านไวรัสชื่อ อะซัยโคลเวีย acyclovir พบว่าได้ผลดีในสัตว์ทดลองที่เกิดโรคจากเชื้อไวรัส HSV-1 และได้ผลดียิ่งขึ้นเมื่อให้ยาต้านไวรัสร่วมกับยาสเตียรอยด์ ดังนั้นถ้าคิดว่าสาเหตุอาจเกิดจากเชื้อเฮอร์ปี แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสดังกล่าว
ได้ผลดีเช่นกัน แพทย์อาจพิจารณาใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ จากการศึกษาวิจัยพบว่าการใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีดในขนาดสูงได้ผลดีที่สุด แต่ก็มีการศึกษาที่ให้ผลในทางตรงข้าม จึงยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด ในปัจจุบันมีรายงานการรักษาโดยฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในเยื่อแก้วหูพบว่าได้ผลดีเช่นกัน
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Hearing Focus ชั้น 2 ไลฟ์เซ็นเตอร์ (อาคารคิวเฮ้าส์ ลุมพินี)
Share
28,966